9 เทรนด์แฟชั่นยั่งยืนที่ต้องจับตามองในปี 2025
9 เทรนด์แฟชั่นยั่งยืนที่ต้องจับตามองในปี 2025

https://browzwear.com/blog/sustainable-fashion-trends
เกษตรฟื้นฟูเพื่อเส้นใยแฟชั่น
เส้นใยพืชเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตสินค้าสิ่งทอ และก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างมาก แนวทางความยั่งยืนของอุตสาหกรรมจึงต้องทำการเกษตรกรรมแนวใหม่ ที่เรียกว่า “เกษตรกรรมฟื้นฟู (Regenerative Agriculture)” คือแนวทางการทำการเกษตรที่ปฏิวัติวงการ โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพของดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ และการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งต่างจากการเกษตรแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นผลผลิตเป็นหลัก เกษตรกรรมฟื้นฟูจะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม สร้างดินให้กลับมามีชีวิตชีวา และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการแฟชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย ปุยขนสัตว์ และป่าน
การสนับสนุนเกษตรกรรมฟื้นฟูทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ยั่งยืน และมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสุขภาพของเส้นใยในระยะยาว แบรนด์ชั้นนำหลายแห่งจึงหันมาลงทุนในโครงการเกษตรกรรมฟื้นฟู โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่ยึดมั่นในหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อผลิตวัตถุดิบแฟชั่นที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ
การขยายตัวของการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล
การสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัล (Digital Product Creation หรือ DPC) กำลังปฏิวัติวงการแฟชั่นให้ก้าวกระโดดไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีนี้ แบรนด์แฟชั่นสามารถสร้าง ทดสอบ และปรับแต่งเสื้อผ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรและขยะที่เกิดจากการทำตัวอย่างจริงอย่างมหาศาล ด้วยเครื่องมืออย่างซอฟต์แวร์ออกแบบแฟชั่น 3 มิติ (3D fashion design) และการทำตัวอย่างเสมือนจริง นักออกแบบสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างสมจริงโดยไม่ต้องผลิตตัวอย่างจริง
กระบวนการนี้ช่วยประหยัดผ้า น้ำ และทรัพยากรอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก มีการศึกษาพบว่า การออกแบบเสื้อผ้าแบบดิจิทัลสามารถลดปริมาณเศษผ้าเหลือใช้ได้มากถึง 70% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการทำตัวอย่างได้ถึง 30%
นอกจากนี้ การสร้างแบบจำลองเสมือนจริงที่เหมือนจริงยังช่วยให้แบรนด์แฟชั่นลดปัญหาสินค้าคืน เนื่องจากปัญหาขนาดและคุณภาพที่ไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้า
ความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับด้วย Blockchain
เทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain) เป็นเหมือนบันทึกที่ปลอดภัยและแก้ไขไม่ได้ ซึ่งจะบันทึกเส้นทางการเดินทางของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค เทคโนโลยีนี้ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถรับประกันความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ได้อย่างแน่นอน
สำหรับบริษัทในวงการแฟชั่น สามารถใช้บล็อกเชนเพื่อติดตามทุกขั้นตอนในซัพพลายเชน (supply chain: ห่วงโซ่อุปทาน) ทำให้มั่นใจได้ว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้มีความถูกต้องตามหลักจริยธรรมและยั่งยืน (ethically and sustainably sourced)
บริษัทต่างๆ เช่น Everledger, LVMH และ H&M ได้นำแอปพลิเคชันที่ใช้บล็อกเชนมาใช้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามวงจรชีวิตของสินค้าที่ตนเองซื้อได้ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตวัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป บล็อกเชนกำลังจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ยั่งยืน เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากต้องการความโปร่งใสมากขึ้น เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจได้มากขึ้น
วัสดุชีวภาพและวัสดุที่ย่อยสลายได้
วัสดุชีวภาพและย่อยสลายได้กำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับวงการแฟชั่น เช่น นวัตกรรมหนังจากเห็ด (mycelium leather), ผ้าจากสาหร่าย (algae-based textiles) และเส้นใยที่เพาะในห้องทดลอง (lab-grown fibers) วัสดุเหล่านี้ หมุนเวียนใช้ใหม่ได้ (renewable) และ ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (biodegradable) ช่วยลดการพึ่งพาปิโตรเคมี (petrochemicals) และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อย่างมาก วัสดุชีวภาพและย่อยสลายได้สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ดีขึ้นเมื่อหมดอายุการใช้งาน และยังใช้ทรัพยากรในการผลิตน้อยลง ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ หลายแบรนด์เริ่มทดลองใช้วัสดุชีวภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สเตลลา แมคคาร์ทนีย์ และอาดิดาส ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อนำผ้าเหล่านี้มาใช้ในคอลเลกชันของพวกเขา
การผลิตเสื้อผ้าแบบประหยัดพลังงานและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
แนวคิดนี้เน้นการออกแบบเสื้อผ้าที่ช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต และง่ายต่อการนำกลับมาใช้ใหม่หลังหมดอายุการใช้งาน แบรนด์เสื้อผ้าสามารถลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการใช้ทรัพยากรได้ โดยการใช้กระบวนการผลิตที่ประหยัดพลังงาน วัสดุที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และการออกแบบที่แยกชิ้นส่วนได้หรือทำจากวัสดุชนิดเดียว
เพื่อให้เสื้อผ้ามีวงจรชีวิตที่สมบูรณ์แบบ นักออกแบบสามารถสร้างเสื้อผ้าที่ถอดประกอบได้ง่าย หรือทำจากวัสดุที่แยกและนำไปแปรรูปได้ง่าย ผ้าเหล่านี้มักทำจากวัสดุชนิดเดียว เช่น ผ้าฝ้าย 100%, ผ้าไหม 100%, ผ้าลินิน 100% เพราะผ้าที่ผสมหลายชนิดจะแยกยากในกระบวนการรีไซเคิล
การผลิตตามความต้องการและตามคำสั่งซื้อ
การผลิตแบบสั่งทำตามต้องการ(On-Demand) และสั่งผลิตตามสั่ง (Made-to-Order) ช่วยแก้ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของวงการแฟชั่น นั่นคือ การผลิตสินค้าเกินความต้องการ แทนที่จะผลิตสินค้าจำนวนมากตามการคาดการณ์ แบรนด์สามารถผลิตสินค้าจำนวนน้อยๆ ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละรายได้ นอกจากนี้ รูปแบบการผลิตแบบสั่งทำตามต้องการยังช่วยให้สามารถปรับแต่งสินค้าได้ตามความต้องการของลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น
ตัวอย่างหนึ่งคือ โปรแกรมปรับแต่ง "Nike by you" ของไนกี้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบรองเท้าของตนเองได้ และทางไนกี้จะผลิตตามสั่ง โมเดลนี้ช่วยให้ไนกี้ลดการผลิตเกินความต้องการและเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า
ในอนาคต เราจะเห็นแบรนด์ต่างๆ นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการคาดการณ์ความต้องการมากขึ้น ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ แบรนด์สามารถวางแผนระดับสินค้าคงคลังและเลือกสไตล์สินค้าที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้ล่วงหน้า
การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต
การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตมุ่งเน้นการลดของเสีย รักษาทรัพยากร และปรับปรุงประสิทธิภาพ การพิมพ์แบบจำลอง 3 มิติ และการตัดอัตโนมัติช่วยลดของเสียจากผ้า ในขณะที่เครื่องจักรประหยัดพลังงานและแหล่งพลังงานหมุนเวียนช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การใช้ระบบอัตโนมัติและระบบดิจิทัลยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและลดข้อผิดพลาดได้อีกด้วย
แพลตฟอร์มความร่วมมือบนระบบคลาวด์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยปรับปรุงการประสานงานในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ลดระยะเวลาในการผลิต ป้องกันการผลิตเกินความต้องการ และนำไปสู่กระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและคล่องตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทแฟชั่นจะต้องมีความมุ่งมั่นในระยะยาวต่อซัพพลายเออร์ ในด้านการพัฒนาวัสดุที่ยั่งยืน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานต้นทุนต่ำ การวางแผนการผลิต และการจัดการสินค้าคงคลังส่วนเกิน
บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน
ความยั่งยืนไม่ได้ทำเฉพาะกับสินค้าเท่านั้น บรรจุภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน แบรนด์เสื้อผ้าบางแห่งกำลังนำวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ รีไซเคิลได้ และนำกลับมาใช้ใหม่มาใช้ การเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดการใช้พลังงาน ลดขยะ และสอดคล้องกับเป้าหมายของเศรษฐกิจหมุนเวียน ตัวอย่างของบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนบางอย่างทำจากวัสดุที่สามารถรีไซเคิล ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และย่อยสลายได้ด้วยปุ๋ยหมัก เช่น กระดาษรีไซเคิล พลาสติกจากพืช และบรรจุภัณฑ์จากเห็ด
มีการใช้วิธีการต่างๆ เช่น ถุงใส่เสื้อผ้าแบบใช้ซ้ำ ฉลากจัดส่งที่ละลายน้ำได้ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบเรียบง่าย สามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ การใช้ดิจิทัล เช่น การวางรหัส QR ที่มีข้อมูลผลิตภัณฑ์บนบรรจุภัณฑ์ สามารถลดความจำเป็นในการใช้แผ่นกระดาษแทรกเพิ่มเติม
นวัตกรรมเส้นใยใหม่และการรีไซเคิล
การรีไซเคิลทางเคมีและการนำเส้นใยกลับมาผลิตซ้ำใหม่ (Fiber-to-fiber regeneration) เป็นวิธีการรีไซเคิลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ วิธีการเหล่านี้ช่วยให้สามารถย่อยสลายเส้นใยลงในระดับโมเลกุลและนำกลับมาใช้ใหม่เป็นเส้นใยใหม่ได้ แนวทางเหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาขยะสิ่งทอในหลุมฝังกลบ แบรนด์ต่างๆ เช่น H&M ร่วมมือกับ Renewcell ผู้ริเริ่มด้านการรีไซเคิล และ Patagonia ผ่านการร่วมมือกับ Recycled Down กำลังเป็นผู้นำในการดำเนินการในด้านนี้
สรุป
ในปี 2568 อุตสาหกรรมแฟชั่นจะยังคงถูกทดสอบและนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนใหม่ๆ มาใช้ แบรนด์เสื้อผ้าจะต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความซับซ้อนและการกระจัดกระจายทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงความลังเลของผู้บริโภคในการจ่ายราคาที่สูงสำหรับแฟชั่นที่ยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นร้อยละ 80 เห็นพ้องกันว่า เทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสำคัญในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น อุตสาหกรรมแฟชั่นจึงต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนใหม่ๆ มาใช้
ที่มา : https://browzwear.com/blog/sustainable-fashion-trends