9 เทรนด์เทคโนโลยีของอุตสาหกรรมแฟชั่นในปี 2023
อุตสาหกรรมแฟชั่นนับเป็นหนี่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 3.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2030 แต่กลับเป็นที่น่าประหลาดใจที่การดำเนินงานของแฟชั่นในปัจจุบันไม่แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงงานฝีมือราคาถูกในหลายประเทศยังหาง่าย อย่างไรก็ตาม จากความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับค่าแรงที่ไม่ยุติธรรม มลภาวะ และความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภค นำไปสู่การคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
นักออกแบบและแบรนด์หลายรายนำเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดในการผลิต การตลาด และความสามารถสวมใส่ได้ ในขณะที่โลกของความเป็นจริงของลูกค้าจะเข้าไปเกี่ยวโยงกับโลกดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ จากปัญญาประดิษฐ์ สู่การอุบัติของการทำธุรกิจซื้อขายออนไลน์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (mobile commerce) การพิมพ์สามมิติ (3D printing) และบล็อกเชน จึงได้มีการรวบรวมรายการความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ ๆ ในวงการแฟชั่นในปัจจุบันดังนี้
1.ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI)
- ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่าง ๆ ได้ใช้ AI ในการปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าของตน รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มการขาย คาดการณ์เทรนด์ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง ทั้งนี้ Chatbots และทัชสกรีนถูกนำไปใช้ในร้านเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตตามความต้องการของลูกค้า ปัจจุบันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปในเว็บไซด์ของแบรนด์แฟชั่นแล้วไม่พบเทคโนโลยีแช็ท AI ซึ่งช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ Intelligence Node

การสตรีมสดวิดีโอกลายมามีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้คน จากงานอีเวนท์เสมือนจริงจนถึงความเหมาะสม การซื้อสินค้าทางอินสตาแกรมได้เข้าไปแทนที่ตลาดหลังโควิดในปี 2022 อีกทั้ง 5G ยังทำให้เกิดรูปแบบสื่อการสตรีมใหม่ ๆ ที่มีกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูง ทุกวันนี้ลูกค้าสามารถ ‘ลองแบบ’ ก่อนซื้อ บางแบรนด์ เช่น Tommy Hilfiger และ Gucci กำลังเสนอโชว์รูมเสมือนจริงเพื่อทดสอบความต้องการของตลาดบางแบรนด์ เช่น Taylor Stitch อนุญาตให้ลูกค้าสั่งแบบดิจิทัลล่วงหน้าก่อนที่จะผลิต เทคโนโลยีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า AI เป็นหัวใจของการพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นในอนาคต โดยกำหนดทุกสิ่งตั้งแต่การพยากรณ์เทรนด์ ไปจนถึงการที่ผู้บริโภคมองและซื้อผลิตภัณฑ์
2.ผ้าชนิดใหม่ ๆ (Novel fabrics)
- อาจกล่าวได้ว่า ผ้าผืนชนิดใหม่ ๆ เป็นอนาคตของวงการแฟชั่น เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้นักออกแบบโดดเด่นขึ้นมาและเป็นทางเลือกด้านความยั่งยืน ตัวอย่างบริษัทสตาร์ทอัพ เช่น Modern Meadow กำลังต่อสู้กับเรื่องนี้ โดยการผลิตหนังที่เติบโตจากห้องแลบ โดยไม่ทำอันตรายสัตว์ และบริษัทต่างๆ เช่น Bolt Threads และ EntoGenetics ก็กำลังคิดค้นนวัตกรรมไหมทำจากแมงมุมที่มีความแข็งแรงสูง

เทคโนโลยีข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ผ้าชนิดใหม่ ๆที่น่าสนใจต้องผนวกเทคโนโลยีและฟังก์ชั่น และผ้าผืนชนิดใหม่ ๆ ที่ผุดขึ้นมาจากร้านบูติกต่าง ๆ ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าเทรนด์เทคโนโลยีดังกล่าวกำลังพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง
3.Internet of things (IoT)
- IoT อธิบายเครือข่ายของวัตถุ หรือ ‘things’ ที่ฝังตัวอยู่ในเทคโนโลยี ที่ช่วยให้มีการแลกเปลี่ยน และการเชื่อมโยงข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในตลาดแฟชั่น ในแต่ละปี แฟชั่นประจำวันยังปรับปรุงไปเรื่อย ๆ เพื่อสะท้อนความจริงของชีวิตประจำวัน จากการเน้นความสบายโดยการใช้ผ้าใหม่ๆและน่าตื่นเต้น อุตสาหกรรมแฟชั่นต้องก้าวให้ทันการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของชีวิตร่วมสมัย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนมากจากเทคโนโลยีเครื่องแต่งกายล้ำสมัยที่น่าตื่นเต้น ที่มีผลต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อื่นและร่างกายของเราเอง และให้ความหมายใหม่ของคำว่าสบาย ตัวอย่างเช่น กางเกงสำหรับเล่นโยคะ NADI X ได้ใส่เซ็นเซอร์เข้าไปในกางเกง เพื่อปรับให้ท่าทางของผู้สวมใส่ดีขึ้น โดยจะสั่นสะเทือนพร้อมกับการเคลื่อนไหวไปกับท่าต่าง ๆ ของโยคะ
- อีกตัวอย่างนวัตกรรมด้าน IoT ที่น่าตื่นเต้น คือ Hexoskin ที่ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิ นอกจากนี้ ยังผลิตถุงเท้าที่นับแคลอรี และข้อมูลอื่น ๆ ในขณะเดียวกัน ชุดพลังของ Fuseprojects ช่วยให้คนชราที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง สามารถเดิน ยืน และทำกิจกรรมได้นานขึ้น ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับแพทย์และผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อที่จะช่วยผู้ป่วยได้

4.การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรวดเร็วเพื่อการปรับตัวอย่างรวดเร็ว (Rapid Data Analysis for Quick Adaption)
- การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรวดเร็วเพื่อการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น ห่วงโซ่อุปทาน โดยใช้ข้อมูลเป็นจำนวนมาก ในการสนับสนุนการปรับตัวดังกล่าว จากการที่ในปัจจุบันมีเครื่องมือซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ในตลาด แบรนด์และโรงงานต่าง ๆ จึงสามารถรับข้อมูลย้อนกลับและสัญญาณเตือนจากบริษัทได้อย่างเวลาจริง เมื่อพบสินค้ามีตำหนิหรือเสียหาย ซึ่งทำให้ช่วยประหยัดเงิน ลดของเสีย และส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้ทันเวลา อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้ามีความพอใจ จากการพบภัยคุกคามต่อธุรกิจอย่างทันถ่วงที การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรวดเร็วสามารถช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ปรับตัวได้เร็วเมื่อมีความจำเป็น ดังในช่วงการระบาดของโรค COVID-19 การปรับตัวของแบรนด์มีความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ดังนั้น การใช้ข้อมูลที่รวดเร็ว เช่น Techpacker จึงช่วยทำให้ทีมงานร่วมมือกันดียิ่งขึ้น และช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และวงจรการผลิตให้ดียิ่งขึ้น ผ่านทางการเลือกใช้ซอฟต์แวร์เดียว
5.การทำธุรกิจซื้อขายออนไลน์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile commerce)
เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นทุกวัน จากการช้อปปิ้งออนไลน์ไปจนถึงกระเป๋าเงินอัจฉริยะ ธุรกิจซื้อขายออนไลน์จึงเป็นสุดยอดของเครื่องมือเทคนิค ซึ่งไม่เพียงแต่มีผลต่อชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในสาขาที่โตเร็วที่สุดในสาขาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การใช้สมาร์ทโฟนเพื่อช้อปปิ้งออนไลน์มีความง่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ กระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น แอพของ Apple และ Android Pay ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ เช่น การยอมรับรอยนิ้วมือและใบหน้า จึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นการจ่ายเงินที่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับซื้อสินค้าขายปลีก ความจริงแล้ว จากข้อมูลของ BigCommerce สองในสามของผู้ที่อยู่ในเจเนอเรชั่น millennials ต้องการซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าซื้อจากร้าน
นอกเหนือจากการเติบโตของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หากเรานับสื่อสังคมออนไลน์ (เช่น การช้อปปิ้งของ Instagram) แบรนด์ต่าง ๆ ก็อาจอยู่ในช่องที่เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า พร้อมพาณิชย์ดิจิทัลที่บูรณาการเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้เห็นได้ดีขึ้น และมีโอกาสขายได้ดีขึ้นเช่นกัน เช่นเดียวกัน แอพแฟชั่นที่ยั่งยืน เช่น Vinted และ Depop ก็เป็นที่ฮือฮาในตลาด โดยแทนที่ช่องทางดั้งเดิม เช่น eBay และ Gumtree ในการขายสินค้าแฟชั่นมือสอง สถานที่ขายผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เหล่านี้ ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมการขายออนไลน์ และแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่กำลังนำนวัตกรรมมาใช้ในทุกเรื่องในอุตสาหกรรมแฟชั่น
6.เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR) และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality หรือ AR)
การผสมผสานระหว่างโลกกายภาพและโลกออนไลน์ของการค้าปลีก เป็นหนึ่งในแอพพลิเคชั่นที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดของโลกเสมือนจริง รวมทั้งในอุตสาหกรรมแฟชั่น การใช้เทคโนโลยี VR ที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง คือ การช่วยให้ลูกค้าลองเสื้อทางโลกเสมือนจริง ซึ่งช่วยให้มีความแม่นยำมากขึ้น จากการวัดตามขนาดของลูกค้าและใช้เทคโนโลยี AR ซึ่งหมายความว่า ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่รู้สึกว่าเคยลองมาแล้ว ประสบการณ์การชอปปิ้งออนไลน์ประเภทนี้ ดึงลูกค้าให้อยู่ได้นานกว่า เพราะลูกค้าต้องการเห็นผลิตภัณฑ์บนตัวเองก่อนซื้อ และรวมเข้ากับการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ดึงดูดลูกค้ามากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ บริษัทบางแห่งกำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AR และ VR อย่างเต็มที่

การจำหน่ายเสื้อผ้าดิจิทัลกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Louis ได้ออกแบบ “หนัง” สำหรับตัวละครของ เกม League of Legends และเมื่อเร็ว ๆ นี้ Ralph Lauren ได้ร่วมมือกับ Bitmoji ที่ซี่งลูกค้าสามารถสร้างรูปลักษณ์ Bitmoji ของตนเอง โดยใช้เสื้อผ้าแบบ mix-and-match ใหม่จาก Polo Ralph Lauren ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของตู้เสื้อผ้าอิเล็กทรอนิกส์
7.การพิมพ์สามมิติ (3D Printing)
ตั้งแต่การก่อกำเนิดของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แบรนด์หลายรายทั้งเล็กและใหญ่ ต่างศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตตามความต้องการ ซึ่งจะเป็นแนวทางใหม่ในการสร้างความยั่งยืน และความคิดสร้างสรรค์ แบรนด์แฟชั่นหลายรายใช้การพิมพ์ 3 มิติในคอลเลคชั่นของปี 2022 ถึงแม้จะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการผลิต แต่ก็ทำให้มีของเสียน้อยลงและใช้แรงงานเข้มข้นน้อยกว่าการผลิตประเภทอื่น การพิมพ์เสื้อผ้าตามสั่งจะช่วยลดของเสียที่เป็นเศษผ้าประมาณร้อยละ 35 ซึ่งจะช่วยทำให้โรงงานตระหนักถึงความยั่งยืนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในผู้บุกเบิกการพิมพ์สามมิติในแฟชั่นชั้นสูง คือ Iris Van Herpen ซึ่งเป็นผู้ออกแบบชาวดัทช์ที่ทำงานด้านการพิมพ์สามมิติมาตั้งแต่ปี 2010 หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงของเธอ คือ เสื้อ "Crystallization" ที่พิมพ์สามมิติจากโพลิเอไมด์สีขาว ทั้งนี้ Van Herpen อาจเป็นนักออกแบบเพียงคนเดียวที่จัดแสดงผลงานในสัปดาห์แฟชั่นชั้นสูง (Haute Couture fashion weeks) ที่มีชื่อเสียงที่กรุงปารีส โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับเครื่องแต่งกาย ลูกค้าของเธอ ได้แก่ Beyonce และ Lady Gaga โดยผลิตเสื้อแฟชั่นที่พิมพ์สามมิติเป็นพิเศษ
การถักแบบดิจิทัล (digital knitting) ก็เป็นที่นิยมในโลกของการพิมพ์ 3 มิติ และเสนอความเป็นไปได้มากมายของการผลิตตามสั่ง ผู้ผลิต เช่น Shima Seika สามารถเปลี่ยนเส้นด้ายให้เป็นเสื้อผ้าทั้งชุดแบบไร้รอยต่อภายในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง

8.บล็อคเชน (Blockchain)
บล็อกเชนเป็นเครื่องมือที่ดี มีความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ และมีประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน โดยช่วยให้สมาชิก ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ไปจนถึงนายธนาคาร สามารถเชื่อมโยงกันและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อมูลดิบ และเอกสารโดยตรงอย่างปลอดภัย ส่วนใหญ่บล็อกเชนใช้ในเทคโนโลยีบันทึกข้อมูล "บล็อก" บนบล็อกเชนทำจากชิ้นข้อมูลที่เป็นดิจิทัล ที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรม เช่น วัน เวลา และจำนวนเงินที่ใช้ซื้อล่าสุด และผู้ที่ร่วมทำธุรกรรม อย่างไรก็ตาม ยังเก็บข้อมูลที่ต่างจากบล็อกอื่นๆ โดยใช้รหัสเฉพาะเรียกว่า hash (กลไกในการแปลงข้อมูล) ซึ่งสามารถใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเสื้อผ้าและห่วงโซ่อุปทานผ่านเทคโนโลยี เช่น การติดตามและตรวจสอบย้อนกลับและการจัดการสินค้าคงคลัง
บล็อกเชนสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ-ดิจิทัลระหว่างผลิตภัณฑ์และเอกลักษณ์ด้านดิจิทัลบนบล็อกเชน และเช่นเดียวกับเงินตราดิจิทัล บล็อกเชนมีการเข้ารหัสลับหรือชุดตัวเลขที่เป็นตัวระบุทางกายภาพที่เชื่อมโยงกลับไปยัง "แฝดดิจิทัล" (การจำลองวัตถุกายภาพให้เป็นวัตถุดิจิทัล) ของผลิตภัณฑ์

เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้โดย Textile Genesis เพื่อบันทึกทุกขั้นตอนการผลิต ซึ่งจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานมีความโปร่งใสมากขึ้น และผลักดันให้มีความยั่งยืนมากขึ้น และทุกครั้งที่ผลิตภัณฑ์เคลื่อนย้ายภายในห่วงโซ่อุหทาน จะถูกบันทึกไว้ในบล็อกเชน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ผลิตสินค้าปลอมหรือการติดตามว่าใครเป็นคนสุดท้ายที่ถือผลิตภัณฑ์และนำผลิตภัณฑ์ปลอมเข้ามาหรือการเอาผลิตภัณฑ์จริงออกไป เป็นต้น
9.ความยั่งยืน (Sustainability)
ท้ายสุด คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงความยั่งยืน โดยในอดีตแฟชั่นมักติดตามรูปแบบเดิมของฤดูกาลต่าง ๆ กล่าวคือ นักออกแบบจะนำเสนอเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ จากปัญหาเร่งด่วนในเรื่องสภาพภูมิอากาศ ทำให้นักออกแบบหันเหจากคอลเลคชั่นตามฤดูกาล ไปยังการออกแบบเสื้อผ้าที่ไม่มีกาลเวลา ที่สามารถให้บริการผู้บริโภคได้หลายปี
จากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคและแบรนด์แฟชั่นกำลังหันเหจาก "fast fashion" ไปสู่แนวคิดของ “slow fashion” ผลก็คือ แบรนด์หลายรายกำลังเลือกที่จะทำการผลิตอย่างยั่งยืนและผู้บริโภคกำลังเลือกแบรนด์ที่ตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า fast fashion ทั้งนี้ จากข้อมูลของโปรแกรมค้นหาข้อมูลแฟชั่น Lyst พบว่า คิดเป็นร้อยละ 47 ของนักช้อปมองหาผลิตภัณฑ์ที่ผลิตอย่างมีจริยธรรมและมีความยั่งยืน
และอีกการดำเนินการหนึ่งที่สร้างความยั่งยืน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น คือ การซื้อเสื้อผ้ามือสองจากการฝากขายและจากร้านขายของมือสอง หนึ่งในร้านขายของมือสองออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด คือ Threadup คาดการณ์ว่า ตลาดเสื้อผ้ามือสองทั้งหมดจะมีมูลค่า 51 พันล้านเหรียญฯ ภายในปี 2023 ส่วนร้านเสื้อผ้า Re-Fashion ได้พัฒนาโครงสร้างแบบวงปิด (cyclical structure) สำหรับแฟชั่นที่ยั่งยืน โดยจำหน่ายเสื้อผ้าจากนักออกแบบมือสอง ในราคาที่เหมาะสมและรับบริจาคฟรีด้วย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นแพลทฟอร์มดิจิทัลที่ผลักดันความยั่งยืนผ่านทางตลาดออนไลน์

สิ่งเหล่านี้แสดงว่าความยั่งยืนผลักดันการตัดสินใจทางธุรกิจ และการตลาดออนไลน์ และกลายมามีความสำคัญสำหรับแบรนด์และนักออกแบบส่วนใหญ่
ที่มา : www.thaitextile.org หัวข้อ แนวโน้มแฟชั่น, Trends, Technology, Fashion, Industry, 2023, Thai Textile and Fashion Outlook by THTI, issue 45, THTI, Fashion Intelligence Unit, FIU, FIU_'66